something2live4

something to live for, what is it ? am i working on the public space ? nevermind because even the sun does not know it's a star

My Photo
Name:
Location: melbourne, victoria, Australia

I'm a designer maybe

Friday, August 21, 2009

YESHH MY FIXED,




Finally my fixed has arrived after been seeking piece by piece and every piece come from different place. Nice to have you in my family. Dont forget to say hello to P'Nacho.

Wednesday, June 17, 2009

A Moment



ผ่านอะไรมาก็มากมาย แต่การเรียนรู้ไม่มีวันหมด หลายๆครั้งในวัยเยาว์ พ่อได้พรํ่าบอกให้รับรู้อยู่เสมอว่า การเรียนรู้ไม่มีวันหมด การศึกษาทำให้ชีวิตมีด้านให้เลือกมากขึ้น และการสังเกตุคือความหมายของการดำรงค์อยู่อย่างมีเอกลักษณ์ หลายๆปีผ่านไป สิ่งเหล่านั้นก็เป็นเรื่องจริงที่เราพามันเดินมาด้วยกันกับเรา สมัยหนึ่ง ตัวผมเองไม่ได้สนใจ ที่จะสรรค์หาความรู้มาใส่ตัว แต่เชื่อเถอะว่าอายุที่เราเรียกว่าเป็นเพียงตัวเลข แต่มันจะเป็นตัวเลขที่ทำให้เราหันมาสนใจแก่นสารในชีวิต

เพราะ เพราะ เพราะ เพราะ เพราะ คำตอบมากมายรอเราอยู่เพื่อไม่ให้เราเสียชติเกิด นั่นคงเป็นคำตอบที่อยู่ลึกๆในใจผม การทำตัวรู้มาก รู้เยอะ และรู้ให้จริง น่าจะเป็นสิ่งที่เรียกว่าคุณค่าของชีวิต จริงอยู่ที่ว่าในชีวิตหนึ่งมีเรื่องที่น่าสนใจและไม่น่าสนใจมากมาย มากมาย มากมาย และอะไรละที่จะเป็นคำตอบของคำถาม

คำตอบต้องหาเอาเอง เพราะความชอบ หรือสนใจ ไม่ใช่คำพูดหรือข้อเขียน แต่เกิดขึ้นจากจิตและสิง่ที่เราเรียกว่าความรู้สึก ซึ่น่าจะเป็นสัญชาตญานของคนที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเหนิด อืมมมม จะว่าไปสัญชาตญานก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจนะ ว่าความหมายของมันคืออะไร

ช่วยกันดูแลโลกเถอะ

Saturday, June 06, 2009

เวลาเดิมๆ กับเวลา


เมื่อวันพุธที่ผ่านมา หรือเมื่อสอวันก่อนมหาวิทยาลัยเปิดเทอมอีกครั้ง เวลาแห่งการสอนหนังสือกลับมาให้ได้ชื่นชมกันอีกครั้ง ผมสนุกทุกครั้งในเวลาที่ไปสอนหนังสือ เพราะนอกจากจะได้เจอความรู้สึกเก่าๆกับอาจารยืที่สอนผมมาเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ผมจบปี 1999 มาปีนี้ 2009 ความรู้สึกเก่ามันกลับมาอีกครั้ง มาคราวนี้ความรู้สึกดีดีมันมีมากกว่าเดิมนะ เพราะได้เจอกับอาจารย์ท่เรียกได้ว่าเคารพและศรัทรในความเชื่อและมีคงามเป็นอาจารย์อยู่ในสายเลือดทั้งในเชิงวิชาการและในเชิงการดำเนินงานสายอาชีพ มาวันนี้ผมเองลูกศิษย์ของอาจารย์ได้กลับมาช่วยอาจารย์ทั้งสองในเวลาเดียวกันรู้สึกเป็นเกียรติครับ ทั้ง อ.ยศ ผู้ที่เป็นเหมือนพี่ชายที่คอยผลักดันให้ผมทำอะไรต่อมิอะไร ตามใจผม และ อ.สุชาติ ผู้ที่เป็น โรลโมเดลทางด้านการศึกษาของผม และเป็นคนแรกที่เปิดโลกของงานออกแบบสมัยใหม่ให้กับผม ยินดีที่ได้กลับมาเจออาจารย์อกครับ ผมยังจำได้ว่าสมัยผมเข้าไปเรียนที่มหาลัยครั้งแรกต้องมีการสอบสัมภาษและ อ.ชาตินี่เองที่เป็นคนที่สัมภาษณ์ผมเข้าเรียน แล้วหลังจากนั้นผมก็ได้รู้จัก อ.ยศ ผู้ที่เปิดโลกแห่งความสนุกให้กับผมในหลายๆด้าน ผ่านไปแล้วสิบปีทุกอย่างยังเหมือนเดิม เพียงแต่สถานที่และวันเวลาที่ผ่านไป ความรู้สึกมันแปลกนะเวลาสมัยก่อนขับรถไปเรียนกับ อาจารย์ แต่เวลานี้ขับรถไปสอนกับอาจารย์ เวลาสิบปี มันไม่ได้เร็วเหมือนที่คำคนว่าไว้หรอกผมว่า เวลาสิบปีชีวิตผมผ่านอะไรมาเยอะทีเดียว ทำงานกับหลายบริษัท ทั้งเป็นลูกจ้าง หรือพอเป็นเจ้าของก็ดีลธุรกิจกัน พบเจอคนใหม่ๆที่ชอบงานออกแบบเหมือนๆกัน พบคนเลวๆที่เกาะคนอื่นรวย พบสัจธรรม บางด้านของธุรกิจก็ดีจนปลื้มไม่หยุด บางด้านของธุรกิจก็ล้มเพราะลมไม่พัดเลยเมื่อยตาย คุณพ่อจากไปไม่กลับมา นัชโช่โตเข้าสองขวบครึ่ง เกรซกับเกล โตขึ้นเรื่อยๆ คุณแม่ยังบ่านเหมือนเดิม พี่สาวแต่งงานกันหมด ผมไปอยู่ต่างประเทศซะครึ่งหนึ่งของจำนวนสิบปี ได้ทำงานหลากหลายประเภท ได้ใช้ความรู้ที่เรียนมาอย่างเต็มที ได้เจอผู้ร่วมงานที่ดีมากและน่าถุยนํ้าลายใส่ มีคนที่รักเรามากขึ้น พอพอกับคนที่นินทาหรือไม่ชอบเรา ได้รู้ว่าการหักหลัง แทงข้างหลัง พูดลับหลัง ให้ร้าย ป้ายสี หรือการอโหสิกรรมกับคนโง่แต่อวดฉลาดเป็นยังไง หรือแม้แต่การมีบริษัทที่ตัวเองอยากจะมีแบบนี้ และมีหลานชายที่ผมไม่ค่อยได้ดูแลคือเจ้าจีน

ยังมีเรื่องอีกมากมายที่ผมคงใส่ไปไม่หมด เอาเป็นว่าถ้ามีเวลาจะมาเล่าให้ฟัง การไปสอนหนังสือของผมก็ยังเป็นเรื่องดีๆที่เกิดขึ้นเสมอๆ ผมเองรักการสอน แต่ผมเองก็ยอมรับว่าตัวเองไม่ได้สอนเก่งไปกว่าอาจารย์ทั้งสองท่าน แถมยังค่อนข้างจะสนุกเกินไปด้วยกระมัง จริงๆจะว่าไปการไปสอนในเทอมนี้ เมหือนกับการได้กลับมาเจอคนที่คุ้นเคย ความรู้สึกผูกพันธ์ หรือได้พบเจอกับสิ่งที่เรียกว่ามิตรภาพ มากกว่าครั้งไหนๆ เอาเข้าจริงๆระยะเวลามันพิสูจน์คุณภาพของคนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การก้าวกระโดดอาจจะเกิดขึ้นได้ไม่บ่อยนัก แต่การรักษาระยะ ตัวเองให้ถึงจุดหมายน่าจะยากที่สุด ถามว่าจุดหมายคืออะไร อืมมมมมมมมม ทุกวันนี้ก็ยังหาไม่เจอนะ ใครจะไปรู้ละ เอาหน่าลองนึกดูว่าจุดหมายคืออะไร หรือไม่ก็สมมติเอาก็ได้ เห้อจะตอแยไปถึงไหน งั้น ขอเป็นรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมละกัน จริงๆ ไม่ได้จะมาพูดเล่นๆ

Friday, May 29, 2009

ไม่มีชื่อเรื่องที่แน่นอน


การที่จะมานั่งเขียนเรื่องชีวิต เป็นฉากๆนั้นสำหรับผมเองนั้นไม่ใช่เรื่องยากที่จะมานั่งเกลาคำให้ไพเราะสวยงามเหมือนสมุดบันทึกการทดลองของท่านมหาอมตะชีววิทยา ดาร์วิน แต่การที่จะประคับประคองให้ชีวิตพบเจอแต่สิง่สวยงามบางครั้งก็ต้องทำตัวแกล้งลืมอะไรบางอย่าง เพียงเพื่อให้ตัวเรามีเวลาสร้างสรรค์สิ่งรอบๆตัวให้สวยงามตามใจฉัน หลายๆเวลาในช่วงนี้ผมพบเจอกับบุคคลหลากหลายที่เดินมาเจอทางแยก และที่สำคัญคือมักจะเดินมาคนเดียว คือไม่บยอมพาเพื่อนที่ชื่อว่าตัวตนมาตัว เลยเหลือแต่เพียงตัวเองเดี๋ยวๆ ที่คอยมองหาคำตอบที่ไม่มีวันหาเจอ หลายๆครั้งมักจะได้ยินคำตอบง่ายๆว่า เลือกได้ ชีวิตมันเลือกได้ แต่จริงๆแล้วมันเลือกได้แค่ไหนกันเชียว มีข้อจำกัดเยอะแยะไปหมดในสถาพสังคมทุกวันนี้ ผมว่าผมเป็นอีกคนหนึ่งที่พยายามหนีจากสภาพแวดล้อมที่อยู่รอบตัว แต่ไม่ใช่การที่จะต้องทำอะไรที่แตกต่าง หรือผิดแปลกไปจากสิ่งรอบตัว แล้วผมเองก็ไม่มีการกรอบด้วยว่า มันจะเป็นอะไร แล้วก็พยายามจะไม่ใช้คำว่า ก็ทำไปเรื่อยๆ หรือก็ไม่รู้จะทำอะไร หรือก็ชอบทำแบบนี้ สิง่เหล่านี้มันเป็นเหมือนคำตอบที่ไม่เคารพตัวเอง แล้วนำความรู้สึกมาเป็นคำตอบ อันนี้เราไม่ได้พูดว่าเท่ห์ ไม่เท่ห์นะ เราพูดกันถึงเรื่อง การคำนวนวิธีการค้นหาตัวเอง

ผมไม่เคยคิดว่าการค้นหาตัวเองเป็นเรื่องยาก ไม่เคยคิดว่าคนเราจะไม่มีงานทำ ไม่เคยคิดว่าเวลาควรจะแบ่งให้กิจกรรมต่างๆ ในปริมาณที่เหมาะสม สิง่เหล่านี้เหมือนเราโดนอุปโลกว่ามันคือ และมันเป็น ผมถามตัวเองทุกวันว่าผมต้องการอะไร หรือถามง่ายๆว่าเอออยากจะทำอะไร คำตอบมันก็มีมากมายให้เราเลือกไม่รู้จบ แต่การที่จะถามว่ามันอยู่ที่ว่าชอบแล้วทำได้มั้ยนั้น ผมเองกลับมองว่าทำได้หรือไม่ได้มันอยู่ที่ความพยายามและการฝึกฝน ผมเชื่อเสมอว่าผมเองไม่ใช่คนที่เอาถ่านอะไร ไม่ได้มี ความสามารถอันใดโดดเด่น หน้าตาก็ไม่ได้หล่อเหมือนพระเอกหนัง หรือเสียงดีเหมือนนักร้อง หรือแม้แต่ไม่ได้เท่ห์เหมือนดีไซเน่อที่เดินเตะฝุ่นกันเกลือ่นเมือง แต่ผมว่าผมเป็นคนเอาจริงเอาจังกับการที่จะนำความรู้จากการอ่านมาปรับให้เข้ากับสถานการณ์ที่เราควรจะไปอยู่ ผมเชื่อว่าสังคมกำลังจะสูญเสียบุคคลากรทางด้านการวิเคาระห์ บุคคลากรทางด้าน ความเข้าใจโดยไม่แบ่งฝ่าย หรือไม่ยึดติด โลกพยายามจะให้ทุกๆคนหาตัวตน ดังนั้น marketing แบบ ตัวตน ตัวกู เป็นตัวเอง สำหรับผมแล้วแม่งไร้สาระมาก เพราะว่าขนาดมึงจะเป็นตัวเองยังต้องให้คนมาบอกให้มึงเผ็นตัวเองหาตัวเองให้เจอ หรือสะท้อนความเป็นคุน อะไรๆก็มีคนมาบอก จะอาบนํ้าก็บอกว่าใช้เหมือนผมสิแล้วหน้าจะหอม หรือใช้แบบนี้สิบางจนไม่รู้สึก หรืออะไรอีกหลากหลายที่จะบรรยายมาเพื่อให้คุณดูหน้าตาดีขึ้น ดูขาวขึ้น ดูเท่ห์ขึ้น เพื่อให้คุณดูมั่นใจขึ้น ในทางกลับกัน มันทำให้เราเห็นคนไม่มั่นใจ หรือคนที่วิง่ตามหาตัวเองเป็นกองทัพจากคำตอบที่เราถามว่าอยากทำอะไร อยากเป็นอะไร ชอบอะไร หรืออะไรอะไรอะไรอะไร สุดท้ายเก้าในสิบบอกว่าก็ดูๆไปก่อน ยังอยากลองว่าชอบอะไร ยังไม่แน่ใจ หรือไม่รู้สิ ครับใช่ครับนี่แหละครับ สังคมแห่งการบริโภคจนไม่ทันได้หายใจ ไม่ทันได้นั่งคิดเหมือนคนมีสติ หรือไม่ทันได้มองตีนตัวเอง และไม่รู้ว่าความเจ็บปวด อดทน ฝึกฝน มันเป็นยังไง ถ้าเจอก้ยินดี แต่ถ้าไม่เจอก็แน่นอนว่าคุณยังเทห์อยู่เสมอ เพราะยังคิดอยู่ว่าชอบอะไร เท่ห์วะ

ปล พอดีไปอ่านเจอแบนเน่ออันหนึ่งชอบมาก เขียนไว้ว่า จุดยืนของพวกเราทุกคนคือ ส้นตีน อ่านแล้วสะเทือนดี ชอบ

Saturday, May 23, 2009

grow up slowly

1 ปี กับอีกหลายๆวัน ที่ผ่านมา

ผมเองได้ละทิ้งเจ้าบล๊อกที่เป็นเหมือนที่ระบาย สร้างสรรคื จรรโลง และประกอบเรื่องราวขอวชีวิตที่หาคำตอบว่าอยู่เพื่ออะไร หรือพูดให้ดีหน่อยว่า เราอยู่เพื่ออะไรบางอย่าง จริงๆคำตอบเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เวียนวนผ่านไปมาอย่างต่อเนื่อง โดยที่เราเองอาจจะไม่เคยคิดที่จะใส่ใจถึงวันเวลาที่ผ่านพ้นไป คนเราใช้เวลากับเรื่องอะไรหลายๆอย่างตามความต้องการและไม่ต้องการ ดังนั้นการเห็น การมอง การกำหนดความต้องการ นั้นยากที่จะบอกสิง่ที่ทำอยู่นั้นมีค่าหรือก็ทำไปเพราะไม่มีอะไรทำ ตลอดเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมานั้น ตัวผมเองแน่นอนว่ามีอะไรเกิดขึ้นมาไม่น้อย ไม่น้อยกว่าคนอื่นๆแน่นอน ไม่ว่าจะได้ออกจากบริษทัที่ตัวเองเป็นคนคิดคนทำ ความเข้าใจเรื่องเพื่อนในความหมายของคำว่าจริงใจ คงามเข้าใจเรื่องธุรกิจที่เรื่องเงินคือพระเจ้า ความเข้าใจที่ว่า การเหยียบตีนคนที่มีเงินมันเป็นเรื่องที่น่าทำอย่างที่สุด โดยเฉพาะคนรวยแต่โง่แต่อยากดังและอยากรวยขึ้นไปอีก หรือการหักหลัง แทงข้างหลัง พูดลับหลัง หิวเงินเป็นบ้าเป้นหลัง และความล้าหลังทางความคิดของคนเหล่านั้นที่ไม่เเปลกว่าชีวิตไม่มีการพํฒนาศักยภาพทางความิดแม้แต่น้อย จนทำให้กลายเป็นส่วนหนึ่งที่คอยเกาะสังคมไปเรื่อยๆโดยไม่คิดที่จะทำอะไรเพื่อสังคมเลย ซึ่งจริงๆแล้วในเมื่อเราเป็นประชากรของประเทศ การด่าต่อว่าประเทศ ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่อย่างน้อยเราควรจะมีความรักหรือแสดงความรู้สึกด้วยการตอบสนองกลับบางอย่าง ไม่ใช่แค่เสียภาษี แต่อย่าเข้าใจผิด ผมเองก็ไม่ได้รักประเทศมากมายอะไร แต่ผมเชื่อว่าสิง่ที่ผมทำ เป้นส่วนหนึ่งที่ช่วยสร้างให้สังคมกลุ่มเล็กๆนั้นทำคุนค่า หรือจุดประกายความคิดพวกเค้า แต่ถ้าผมไม่ได้ทำสิง่นั้นแล้วก้ช่วยสานต่อความตั้งใจ ไม่ใช่ยังไม่เดินหน้า และยังคงทำอะไรตามหลังและล้าหลัง แล้วคนที่คอยดูเราจะได้ระโยขอารัยนอกจากโดนเราหรอกว่าเรานั้นดี ผมพยายามสรุปเนื้อหาใจความถึงเรื่องที่ผ่านมา ผมเองนั้นก็สบายดี และสบายมากไม่น้อยกับเรื่องร้ายๆที่ผ่านมา มันทำให้เห็นสัจธรรมของโลก มันทำให้รู้ว่าเราเหมาะกับอะไร และไม่เหมาะกับอะไร แน่นอนว่าเรื่องร้ายย่อมมาพร้อมกับเรื่องดีๆ เหมือนกับเรากินข้าว ก้ย่อมจะเจอกับข้าวท่เราชอบและไม่ชอบ พอดีว่าที่ชอบมันดันหมดแต่ที่ไม่ชอบก็กินได้แต่ไม่อร่อยแต่จุดประสงค์คืออิ่มท้อง ผมได้เจอเพื่อนใหม่ๆ ได้ทำอะไรร่วมกัน และสัมผัสความรู้สึกที่ได้รับจากคนภายนอกที่มองเราด้วยกัน เราอินในสิง่เดียวกัน เราเลยเรียกมันว่า int2 studio มันเป็นการเปิดองค์กรเล็กๆที่มีคนทำงานน้อยๆ ที่ไม่ได้หวังจะิย่งใหญ่หรือเป้นข่าว และที่ไม่ได้ต้องการจะสร้างงานที่ไม่ดี สิง่ที่เราคิดปละทำกันนั้นเราเชื่อเสมอว่ามันจะเป็นสิง่ที่ประเทศชาติได้อะไรจากเรา ประชากรจะได้อะไรจากเรา นอกจากนั้นเรายังเดินหน้าข้ามแม่นํ้าไปทำงานที่สิงโปอยู่บ่อยครั้งจนทำให้เรารู้สึกว่าเราควรจะสร้างพื้นที่เล็กๆอีกที่หนึ่งนั่นก็คือสิงโปร์นั้นเอง เห็นมั้ยละว่าหนึ่งปีนั้นมีอะไรผ่านไปเยอะจริงๆ เยอะจนไม่น่าเชื่อ ลองเข้าไปดูสิว่าหนึ่งปีที่ผ่านมาผมทำอะไรลงไปบ้าง http://shylimanon.wordpress.com การเติบโตอย่างช้าๆเป็นสิง่ที่ดีเสมอ มันไม่ทำให้เซล์โตผิดปกติ มันทำให้มีสติ มันทำให้ได้เห็นพัฒนาการ และมันทำให้เราเข้าใจมันที่ละนิด มันก้สบายใจดี และได้เห็นว่าการทุ่มเทและการทำงานหนักนั้นมันทำให้เราได้สิง่ดีดีกลับมา ซึ่งสิง่ที่ดีที่สุดนั้นมีอยู่สองสามเรื่องคือ

มันทำให้รู้ว่าใครห่วงเราบ้าง
มันทำให้ลืมเรื่องร้ายๆ
มันทำให้ชีวิตผลิตด้านออกมาหลายด้านให้เลือกเสพเพื่อหาความจรรโลงใจ
และมันทำให้ชีวิตมีสิง่ที่เราดำเนินชีวิตไปเพื่ออะไร

คำตอบอยู่ที่หัวข้อ แต่คำถามเดินเข้ามาเพื่อให้เจอคำตอบแบบหัวข้อเสมอๆ

Wednesday, May 02, 2007

เวลาที่อ่อนไหว

บางทีเราเองก็อาจจะแทบไม่รู้อะไรเลยซักอย่างเดียว การรู้หรือไม่รู้มันอยู่ที่อะไรคงหาคำตอบยากเต็มที อีกอย่าง สิ่งีท่รู้หรือเชื่อมั่นอาจจะไม่ถูกต้องเสมอไป การตัดสินใจของคนเป็นเหมือนสัญชาตญาณหรือเป็นเหมือนการวิเคราะห์ให้แน่นอนเสียก่อนว่า สิ่งนั่นใช่ หรือไม่ใช่ตามความคิดของเราเองที่โดนหล่อหลอมมากจากประสบการณ์ที่ผ่านมา วันเวลาผ่านไปมาจนหน้ากลัว กลัวว่าวันที่ผ่านมาแล้วมันจะไม่ดีพอ กลัวว่าความรู้สึกที่มลายหายไปกับวินาทีที่เดินผ่านทำให้รู้สึกถึงความผิดพลาดมากกว่าความสุขใจ คนเรานอกจากจะมีความสุขกับสิ่งที่ทำแล้ว มีความสุขกับคนรอบกายแล้ว มีความสุขกับคนรู้ใจน่าจะเป็นเรื่องที่น่าสุขใจที่สุดไม่ใช่หรือ แต่ก็อีกนั่นแหละว่า ทุกอย่างมันจะเป็นไปตามอย่างที่เราอยากให้มันเป็นได้หรือ

อีกไม่กี่เดือนก็สิ้นปีอีกครั้ง เวลาผ่านไปเร็วจนน่ากลัว แต่ไม่รู้ว่ากลัวอะไรในเมื่อชีวิตก็มีเรื่องน่ากลัวพออยู่แล้ว เอาเถอะ แล้วมันก็ต้องเดินผ่านไปเหมมือนวันอื่นๆอีกครั้ง

Monday, April 30, 2007

ในห้วงเวลา

ตลอดระยะเวลาสองถึงสามเดือนที่ผ่านมา การเปลี่ยนแปลงรายวัน เหมือนหนังสือพิมพ์รายวัน ดูเหมือนจะเหมาะที่สุดกับเปรียบเทียบกับการดำเนินชีวิตในช่วงเวลาที่ผ่านมา หน้าที่การงาน พื้นที่ในสังคม เพื่อน คนรู้จัก และสรรพสิ่ง เรื่องราวที่ผ่านมาล้วนทำให้เกิดมิติอีกด้านหนึ่งของชีวิตที่ไม่ได้เตรียมใจมารับสภาวะเหล่านี้ แต่ก็อีกนั่นแหละว่า ใครละจะพร้อมตลอดเวลา ใครละจะรู้ว่าพรุ่งนี้รถจะไม่มากมายบนท้องถนน และใครละจะรู้ว่า พรุ่งนี้เราจะเจอมนุษย์กินคนเดินอยู่ข้างหน้าเรา ห้วงเวลาเหมือนเป็นการบันทึกทางจิตที่ผมชอบจดจำเรื่องราวเก่าๆ เรื่องราวที่ไม่น่าจะจดจำหรือสำคัญ แต่ภาพเหล่านั้นกลับติดตาตรึงใจ หลายวันจนเป็นเดือนๆที่ผ่านมานั้นคงจะเป็นอีกหนึ่งวันของห้วงเวลาของเราอีกครั้ง ถ้าเราทำแผนผังชีวิตว่าเรารู้จักใครๆๆๆๆๆๆๆบ้างก็น่าจะดี

หนังสือที่กำลังอ่าน
_เสียงในความทรงจำ_วรพจน์ พันธ์ุพงศ์
_เดวิด โอกิลวี่_คำสารภาพของคนโฆษณา_ฉบับมาตรฐาน_แปลโดย_ชาญชัยเทียนงาม
_ศิลปะสมัยใหม่_จำชื่อไม่ได้

อัลบัมที่กำลังฟัง
_Dead Cities, Red Seas & Lost Ghost by M83.
_In Case We Die by Architecture In Helsinki
_Or The Last Remains Of The Dodo by Aimee Mann.Bachelor No.2
_Agaetis Byrjun by Sigur Ros